งานแกะสลักหิน นับเป็นผลงานด้านประติมากรรมที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง
ตั้งอยู่ในบริเวณลานอุทยานต่อจากอาคารบ้านจำลอง มีจุดเริ่มต้นของการดำริจัดสร้าง สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าฯ รพบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ
ไปในพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายพระมหาธาติเจดีย์
นภพลภูมิสิริ ที่กองทับอากาศจัดสร้างน้อมเกล้าฯ
ถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา
5 รอบ วันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535 ณ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พุทธศักราช 2536
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในภาพหินแกรนิตและสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ ที่ประทับอยู่โถงพระมหาธาตุเจดีย์
และได้มีพระราชดำริจัดทำภาพหินแกะสลักลักษณะเดียวกันนี้
ณ อุทยานเฉลิมพระเกียตริสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีดังกล่าว
ผู้บัญชาการทหารอากาศจึงได้ของพระราชทานวโรกาส รับสนองพระราชดำริมาดำเนินการ โดยมอบหมายให้
พลเอกอากาศ สมสักดิ์กุศลาลัย
เผฃป็นผู้ทนกองทัพอากาศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
คณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบและจัดสร้างภาพแกะสลักหิน โดยมี
หม่อมราชวงศ์ ดิศนัดดา ดิศกุล
เป็นประธานร่วมกันหลายครั้ง เพื่อพิจารณาถึงรูปแบบรายละเอียดของภาพที่จะแกะสลักโดยการศึกษาค้นคว้า
พร้อมกันนี้คณะทำงานยังได้เดินทางไปศึกษาพื้นที่ทรงงานพัฒนาดอยตุง
พระตำหนักดอยตุง พื้นที่บางส่วนของภาคเหนือ
เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของโรงเรียนตำรวจตระเวนมาถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์
และได้เข้าเฝ้าฯ ของพระราชทานแนวพระราชดำริจากสมเด็จเจ้าพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการจินตนาการของผู้ออกแบบจากกรมศิลปากร
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบที่จะใช้วัสดุในการแกะสลักเป็นหินทราย
เนื่องจากหินทรายมีเนื้อละเอียด เมื่อนำมาแกะสลักจะได้ลวดลายที่คมชัด
เนื้อผิวสวยและงายต่อการแกะ อีกทั้งมีความคงทนไม่แพ้หินแกรนิต
เมื่อได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามที่เสนอ
หินทรายดังกล่าวนี้กองทัพอากาศรับหน้าที่จัดหาและขนย้ายจากแหล่งหิน
ที่กิ่งอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
มายังบริเวณอุทยาน แผ่นหินทรายสีเขียวมีขนาดกว้าง
1.60 เมตร ยาว 8 เมตร หนา 90 เซนติเมตร
ตั้งอยู่บนฐานที่มีความสูง 80 เซนติเมตร
รายละเอียดของภาพที่จะแกะสลักนั้น คณะกรรมการฯ
เห็นพ้องต้องกันว่า ควรเป็นภาพที่สะท้อนให้เป็นถึงพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทร่าบรมราชชะนี
ที่ทรงมุ่งมั่นจะบรรเทาความทุกข์ยากอันเกิดจาโรคภัย ความด้อยโอกาสทางการศึกษา ความยากจนในถิ่ทุรกันดาร
ตลอดจนการปลูกฝังความรักความเชื่อมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แก่บรรดาพสกนิกร จากแนวความคิดดังกล่าว
นำไปสู่การออกแบบภาพด้านหนึ่งของแผ่นหินเป็นภาพพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลานาน
ได้แก่ สภาพความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่หางไกลความเจริญ
บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลานาน ได้แก่
สภาพความเป้นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ห่างไกลความเจริญการดำเนินงานของคณะแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
(พอ.สว.) การจัดตั้งโรงเรียนประชาชนชาวเขาไกลคมนาคม หรือโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนและกลางภาพต้นไม้ใหญ่
มีตราอักษรย่อ พระนามาภิไธย
ส.ว. ประดับอยู่กิ่งกลาง เปรียบสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็นเสมือนร่มโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกเกล้าชาวไทยให้อยู่เย็นเป็นสุขมายาวนาน
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นภาพพลิ้วกระบวนไหวิสาแม่ฟ้าหลวง บริเวณหน้าพระตำหนักดอยตุง เพื่อสะท้อนถึงความเทิดทูล
จงรักภัคดี และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่มีต่อราษฎร
สรุปขั้นตอนการดำเนินงานทำภาพแกะสลักหินทรายโดยจำแนกได้ทั้งสิ้นเป็น
5 ขั้นตอนกล่าวคือ
1.
ขั้นตอนการออกแบบ
2.
ขั้นตอนการจัดจ้างช่างแกะสลัก
3.
ขั้นตอนการจัดเตรียมและขนย้ายหิน
4.
ขั้นตอนการออกแบบต้นแบบ
5.
ขั้นตอนการแกะสลัก
ขั้นตอนที่ 1 การออกแบบคณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบและจัดสร้างภาพหินแกะสลักนั้นได้ดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มโครงการโดยได้จัดประชุมเพื่อระดมแนวความคิดหลักในการออกแบบทรงงานตามโครงการ
โดยได้จัดการประชุมเพื่อระดมแนวความคิดหลักในการออกแบบรวมทั้งการศึกษาค้นคว้าจากพระราชประวัติ
พระราชกรณียกิจตลอดจนการเดินทางไปศึกษาพื้นที่ทรงงานตามโครงการพระราชดำริ
และการได้รับความอนุเคราะห์จากกองบัญชาการตำรวจตะเวณชายแดน
ในการถ่ายทอดเรื่องราว ประสบการที่ได้ถวายรับใช้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
เพื่อให้ผู้ออกแบบสามารถจินตนาการภาพได้อย่างชัดเจนดังที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 2 คณะกรรมการฝ่ายออกแบบและจัดสร้างภาพแกะสลักหินพิจารณาเห็นว่าหากสามารถสลักหินก้อนเดียวได้
จะทำให้ภาพมีความสวยงามและมีศิลปะมากขึ้น จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แกะสลักด้วยหินก้อนเดียว และมีมติให้ร้านศักดิ์ศิลาพานิช ชลบุรี
เป็น ควบคุมการแกะสลักหิน โดยกาองทัพอากาศเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของการควบคุมงานกองทัพอากาศ
จึงได้ทำสัญญาจ้างเหมาให้ร้านศักดิ์ศฺลาพานิช เป็นผู้รับจ้างในราคา 1,000,000 บาท
แบ่งการใช้จ่ายเป็นเงิน 4 งวด
งวดที่
1 เมื่อทำสัญญาและจัดเตรียมหินเสร็จ 300,000 บาท
งวดที่ 2 เมื่อแกะสลักภาพที่ 1 เสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน
2538 300,000 บาท
งวดที่ 3 เมื่อแกะภาพที่ 2
เสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน
2538 300,000 บาท
งวดที่ 4 เมื่อทำงานส่วนที่เหลือเสร็จตามแผน
100,000 บาท
ขั้นตอนที่ 3 การจัดเตรียมหิน เมื่อคณะอนุกรรมการฯ ตกลงใจที่จะแกะสลักภาพด้วยหินก้อนเดียวแล้ว
ผู้แทนกองทัพอากาศ จึงได้นำเสนอคณะเจ้าหน้าที่ของกรมช่างยาทหารอากาศและกรมขนส่งทหารอากาศ
พร้อมด้วยผู้รับเหมาไปสำรวจภาพเหมืองหินหินและเส้นทางการเคลื่อนย้ายเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเตรียมหินและการขนย้ายหินมายังอุทยานฯ
ก่อนที่จะทำสัญญาจ้าง จากการสำรวจพบว่า
สภาพของเหมืองหินอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านไทยสามัคคี กิ่งอำเภอวังน้ำเขียว
จังหวัดนครราชสีมา เป็นหินใหญ่มีส่วนเป็นลานหินพ้นเนินดินออกมาประมาณ
15 X 10 เมตร สูงประมาณ 2.50
เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่พอ และได้คำนวณหาน้ำหนักของหินขนาด 8.20 X 1.70X 0.90 เมตร แล้ว จะหนักประมาณ
34 ตัน การตัดหินทำได้
2 วิธี คือ การเจาะหินเป็นแนวตามขนาดที่ต้องการดีดหินออกจากกัน ส่วนอีกวีหนึ่งนั้น ตัดโดยใช้สายพานเพชรตัด
การตัดโดยวิธีแรกจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ค่าใช้จ่ายถูกมาก แต่ไม่แน่ใจว่าแผ่นหินที่ตัดออกมานั้นจะมีการร้าวหรือไม่ส่วนการตัดโดยใช้สายสะพานเล็กนั้น
จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ผู้รับเหมาจะต้องเสียค่าเช่าเครื่องตัดและจ้างเจ้าหน้าที่เป็นเงิน
180,000 บาท แต่หินที่ตัดจะเรียบ
มีโอกาสที่จะร้าวจากการตัดน้อย และสามารถตรวจดูรอยร้าวได้ด้วยสายตาได้ง่ายกว่าวิธีแรก
การตัดหินทั้ง 2 วิธี จะต้องเปิดหน้าหินด้านข้างและจะต้องทำทางให้รถพ่วงแคร่ต่ำระวางบรรทุกไม่ต่ำว่า
40 ตัน ลงไปบรรทุกหิน
ทางในช่วงนี้จะมีความยาวประมาณ 100 เมตร ความลาดชันประมาณ 20 องศา การยกหินขึ้นบรรทุกรถ จะต้องให้รถยกขนาด 45 ตัน 2 คัน
ยกหัวท้าย เนื่องจากพื้นที่จำกัด
รถยกยื่นงวงออกไปมาก ใช้คันเดียวจะไม่ปลอดภัย
สภาพเส้นทางที่แยกจากทางหลวงสายกบินทร์บุรี – นครราชสีมา
เข้าไปยังเหมืองหิน เป็นทางสาธารณะระยะทางประมาณ
9 กิโลเมตร ผิวจราจรลาดยาวถึงหมู่ไทยสามัคคี
จากนั้นเป็นถนนลูกรังระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
มีสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้างลำรางสาธารณะอยู่ 1 แห่ง ขณะทำการสำรวจในลำรางแห้ง แต่ดินยังเหลวอยู่ จากการสอบถามผู้ใหญ่บ้านทราบว่า
สะพานรับน้ำหนังได้ไม่เกิน 25 ตัน
แต่มีพื้นที่ที่สามารถทำทางเบี่ยงได้ โดยจะต้องปรับแต่งเสริมความแข็งแรง
พื้นที่ช่วงที่ผ่านลำรางน้ำเล็กน้อยและการดำเนินการให้เสร็จในเดือนกุมภาพันธ์เพราในเดือนมีนาคมมักจะมีฝนตก
ทำให้ใช้ทางเบี่ยงไม่ได้ไปจนถึงเดือนเมษายน
เพื่อให้ได้หินที่มั่นใจว่าจะไม่มีรอยร้าวและสามารถเคลื่อนย้ายมายังอุทยานฯได้ ในช่วงเวลาที่สามารถใช้ทางเบี่ยงได้
จึงได้ทำความตกลงให้ผู้รับเหมาตัดหินด้วยการใช้สายสะพานเพชร
ในราคาที่เสนอไว้เดิม และให้กรมช่างโยธาทหารอากาศ
ทำการปิดหน้าดินและทำทางให้รถพ่วงระวางบรรทุก 40
ตัน ลงไปบรรทุกหิน รวมทั้งทำทางเบี่ยงให้มีความแข็งแรงและปลอดภัยพร้อมทั้งขอให้กองบิน 1
ติดต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตัดและการขนย้ายหินเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติและขอให้จัดบรรทุกน้ำ
1 คัน สำหรับใช้หล่อเลี้ยงระบายความร้อนสายพานตัดหินและบริการแก่ชาวบ้านที่กำลังขาดแคลนน้ำสำหรับการบริโภค
การตัดหินและการเตรียมพื้นที่และเส้นทางสำหรับการเคลื่อนย้ายหินเสร็จสมบูรณ์
พร้อมที่จะทำการเคลื่อนย้ายได้ตั้งแต่ วันที่
31 มกราคม พุทธศักราช 2538
เป็นต้นไป
การเคลื่อนย้ายหินมีความยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากหินมีความยาวถึง
8 เมตร หนักถึง 35 ตัน ต้องเคลื่อนย้ายโดยใช้ทางเบี่ยง
และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในเวลากลางคืน
เมื่อถึงทางเข้าอุทยานต้องถ่ายหินบรรทุกที่มีขนาดเล็กลงเนื่องจากทางเข้าเป็นซอยแคบ
มีอาคารปลูกชิดขอบทาง และเมื่อเข้าถึงอุทยานฯแล้ว
การที่จะเคลื่อนย้ายหินเข้าไปตั้งบนแท่นฐานมีวิธีปลอดภัยเพียงวิธีเดียว
คือ ต้องให้รถบรรทุกไปได้ถึงบริเวณแท่นฐาน
แล้วใช้รถยกยกหินนั้นวางบนแท่นฐานจึงต้องทุบรั้วด้านข้างออก 2
ช่อง และทำถนนให้รถบรรทุกหินและรถยกเข้าถึงฐานได้
โดยไม่ก่อความเสียหายให้กับสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ แต่เมื่อเคลื่อนย้ายหินในอุทยานในเดือน กุมภาพันธ์
2538 แท่นฐานยังก่อสร้างไม่เสร็จ จึงต้องรอยกหินไว้หน้าอุทยานจนถึงวันที่
8 มีนาคม 2538 จึงได้เคลื่อนย้ายขึ้นติดตั้งเสร็จ
โดยได้รับความร่วมมือช่วยเหลือได้อย่างดีมาก
รถยกเข้าอุทยานได้รับความปลอดภัย นอกจากนั้นยังรับการสนับสนุนจากกรมช่างโยธาทหารอากาศการขนส่งทหารอากาศและกองบิน
1 ในการทำทางเบี่ยงเสริมความเข็งแรงของทางเบี่ยงในช่วงข้ามลำรางด้วยเหล็กปูสนามบิน
ร่วมวางแผนและคำนวณการเคลื่อนย้ายด้วยความละเอียดลอบคอบ
คณะอนุกรรมการณ มีความประทับใจในการเข้าร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
ขั้นตอนที่ 4 การจัดทำภาพต้นแบบ ด้วยการปั้มภาพด้วยดินเหนียวของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรประกอบด้วยช่างปั้น
ได้แก่ นายโสพิศ พุทธรักษ์ ประติกากร นายภาดร เชิดชู ประติกากร
และนายประสพสุข รัตน์ใหม่ ประติมากร อยู่ในความควบคุมของนายชิน
ประสงค์ ผู้อำนวยการส่วนประติมากรรม
ทั้งนี้ได้ดำเนินการปั้นขนาดเท่าจริงทีละก้านที่หินเหนียวที่มีความละเอียดเป็นพิเศษ
ขนาดเท่าจริงแต่เดือนพฤศจิกายน 2537 โดยเริมจากกระบวนการไหว้สาแม้ฟ้าหลวงก่อน เมื่อเสร็จด้านแรกจึงเริ่มด้านที่สองในเดือนมกราคม
2538 ทั้งนี้เวลาปั้นแบบเท่าจริง
หลังจากนั้นแบบนูนสูงด้วยดินเหนียวเสร็จ จึงหล่อต้นแบบด้วยปูนปลาสเตอร์
ทำเป็นแม่พิมพ์สำหรับกรมวิธีการหล่อปูนปลาสเตอร์ ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ต้องให้ความละเอียดเป็นพิเศษ เนื่องจากชิ้นงานมีขนาดใหญ่ ก่อนการหล่อปูนจะต้องแบ่งภาพออกเป็นสามส่วน
โดยการกั้นแผ่นสังกะสีชนิดบางให้พอดีกับรอยต้องของภาพการที่ภาพมีรายละเอียดซับซ้อน
จึงจำเป็นต้องให้เทคนิค กล่าวคือ
การผสมสีลงไปในการหล่อปูนชั้นแรกเพื่อเป็นจุดสังเกตตอนทุบแบบพิมพ์ว่าใกล้ถึงเนื้อปูนที่เป็นต้นแบบ
ส่วนลักษณะปูนที่ใช้หล่อนี้ต้องผสมเหลวพอควร เพราเมื่อสะบัดปูนไปที่ภาพต้นแบบ ปูนจะเกาะติดรายละเอียดทุกส่วนของภาพได้อย่างทั่วถึง
ลำดับต่อไปจึงเพิ่มความหนาของแม่พิมพ์ จนกระทั่งแม่พิมพ์มีความหนาได้ที่
แล้วทำโครงเหล็กยึดแม่พิมพ์แข่งแรงแน่นหนา นำแม่พิมพ์แต่ละส่วนมาหล่อปูนปลาสเตอร์ทำรูปต้นแบบ และนำทั้งสามส่วนมาประกอบเป็นชิ้นเดียวกัน เพื่อใช้เป็นแบบแกะสลัก
ขั้นตอนที่ 5 การแกะสลักหิน เป็นฝีมือช่างจากร้านศักดิ์ศิลาพานิช จังหวัดชลบุรี
ซึ่งกองทัพอากาศดำเนินการจัดหาและจ้างมาดำเนินการภายใต้การควบคุมกันระหว่างกองทัพอากาศและกรมศิลปากร
เจ้าหน้าที่ได้ขนย้ายแม่แบบที่หล่อจากปูนปาสเตอร์มาประกอบเข้าเป็นแผ่นเดียวกัน
ณ บริเวณอุทยานฯ ซึ่งเป้ฯสถานที่ดำเนินการแกะสลักหิน พร้อมทั้งทาสีแม่แบบให้เข้มขึ้นเพื่อช่างแกะหินสามารถสังเกตรายละเอียดของภาพได้ชัดเจน
ต่อจากนั้นนำดินน้ำมันเปิดส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ของแม่แบบ ทั้งนี้เพราะให้ง่ายต่อกาวัดสเกลและการแกะแบบร่างอย่างคร่าว
ๆ ก่อน
อนึ่ง การทำงานในขั้นตอนที่ห้านี้
ได้รับความอนุเคราะห์จากกอาจารย์สมชาย เถาทอง
ปฏิมากรผู้มีความเชี่ยวชาญและมีผลงานการแกะสลักหินที่มีชื่อเสียงเป็นที่ปรึกษาช่วยดูแล
ควบคุมการทำแบบและวางแผนการทำงาน ดังนี้
1.
ปรับระดับความลึกของภาพ เป็น 3 ระดับ การแกะสลักแผ่นหินที่ขนาดใหญ่และมีความยาวเช่นนี้
จำเป็นต้องตั้งวางแผ่นหินบนฐานตั้งแสดงจริงแล้วลงมือแกะสลักตามแนวที่ตั้ง
เริ่มจากการขยายเส้นขนานเท่าจริงบนกระดาษ เพื่อทำเป็นแม่พิมพ์สเตนซิล เจาะส่วนของภาพที่ลึกที่สุดออกทาบแม่พิมพ์บนหน้าหินแล้วพ่นสีสเปรย์ในส่วนที่เจาะไว้
เสร็จแล้วช่างแกะสลักหินส่วนที่มีสีพ่นออกมาวัดดูให้ได้ความลึกเท่ากันกับแบบปูนปั้น
และใช้แม่พิมพ์สเตยซิลที่เจาะส่วนของภาพที่มีระดับความลึกรองลงมา 2
ระดับ ทำเช่นเดียวกันนี้ให้ได้ระดับความลึกของภาพเป็น
3 ระดับ เมื่อเสร็จแล้วจะมองเห็นเค้าโครงและระดับความตื้นของกลุ่มภาพได้ชัดเจน
2.
ตกแต่งส่วนภาพในแต่ละกลุ่มให้เหมือนแบบ เมื่อภาพสลักมีความลึกได้ระดับแล้วจะเกิดกลุ่มของภาพขึ้น
ในขั้นตอนนี้ได้ใช้แม่พิมพ์สเตนซิล เจาะส่วนที่เป็นรูปร่างและทำท่าทางของภาพเป็น
2 ชุด คือ ชุดหนึ่งให้สลักภาพส่วนที่ลึกไปแนวซ้าย และอีกส่วนหนึ่งให้สลักภาพส่วนที่ลาดลึกไปในแนวขวาเพื่อให้ได้ภาพคนหรือวัตถุแต่ละสิ่งเป็นรูปเหลี่ยมมีทิศทางและสัดส่วนที่ถูกต้องของภาพและมีเนื้อหินพอสำหรับแกะรายละเอียด
ในขั้นตอนนี้เป็นการรักษาไม่ให้รายละเอียดของคนและอิริยาบถต่างๆ
ผิดจริงไป ซึ่งสามารถควบคุมการแกะสลักได้เป็นอย่างดี
เมื่อช่างเกะสลักมีความเข้าใจในการทำงานทั้ง 2 ขั้นนี้แล้ว ต่อมาการสลักภาพอีกด้านหนึ่งได้ลดขั้นตอนที่
2 ออกโดยไม่ต้องทำแม่พิมพ์สเตนซิล แต่ใช้ช่างเขียนเขียนลงบนหินได้เลย และใช้ดินน้ำมันปิดทับรายละเอียดภาพต้นแบบให้เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเป็นแบบให้ช่างแกะสลัก
ทำให้ลดเวลาการทำงานลงมาได้มาก
3.
ตกแต่ลวดลายขั้นตน เมื่อกลุ่มภาพมีสัดส่วนและท่าทางถูกต้องแล้ว
ช่างเขียนจะเขียนลายเส้นหน้าตา เสื้อผ้า
รายละเอียดอื่น ๆ ลงบนหิน เพื่อให้ช่างแกะสลักได้สลักตาม ในขั้นตอนนี้ช่างเขียนจำต้องทำงานควบคู่ไปกับช่างสลักเพื่อคอยเติมลายเส้น
เมื่อช่างสลักได้สลักลบออกไป วีการทำงานควบคู่กันไปในหน้างาน
ทำให้ช่างสลักสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ภาพทั้งหมดสมบูรณ์ถึง 80%
4.
การตกแต่งรายละเอียดขั้นสุดท้าย เป็นการเก็บร่ายละเอียด
เช่น หน้าตาของคน ซึ่งได้ให้ช่างสลักที่มีฝีมือเพียง 2 คน
ทำการแกะสลัก สรุปได้ว่า การทำงานใน 4 ขั้นตอนนี้ เมื่อสำเร็จ ภาพสลักทั้งภาพฝีมือการสลักที่สม่ำเสมอเหมือนกับงานที่ทำด้วยช่างเพียงคนเดียว
ต่อจากนั้นจึงตกแต่งฐานด้วยการแกะลวดลายให้เรียบร้อยสวยงาม
เมื่อการแกะสลักภาพทั้งสองด้านลุล่วง ที่ประชุมคณะกรรมการฯ
ได้มีมติเป็นชอบให้แกะสลักสีสันแผ่นหินทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งแกะอักษรย่อพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.
ภายใต้พระมหาภิชัยมงกุฎ มีรัศมีและเลข 9
ด้านล่าง แกะสลักหินเป็นคำประพันธ์ร้อยกรองเกี่ยวกับแนวพระราชดำริในการจัดสร้างอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ
แห่งนี้ ซึ่งประพันธ์โดยนายชำนาญ
แย้มผกา วิทยากรพิเศษ กองการในพระองค์ สำนักราชเลขาธิการดังนี้
โปรดเกล้าฯ ให้อนุรักษ์เป็นหลักฐาน
และสร้างเป็นอุทยานโดยถวิล
เฉลิมพระเกียรติพระราชชนนีศรีนครินทร์
ปองประโยชน์ทั้งสิ้นแก่ปวงชน
และเพื่อผู้สนใจใคร่ศึกษา
พระราชประวัติบรรดาอนุสนธิ์
พระราชกิจสฤษฎิ์ไว้ในสากล
ดั่งรอยพระบาทยุคอันฝากไว้
ขอให้อุทยานสถานนี้
อันเป็นที่เคยประทับในสมัย
จงสำเร็จประโยชน์แท้แก่ชาวไทย
เฉลิมพระเกียรติคุณไปนิรันดร
21 ตุลาคม พุทธศักราช 2538
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น แกะสลักอักษรพระนามภิไธย
ส.ว. ด้านล่างแกะสลักคำประพันธ์ร้อยกรองอาเศียรวาทเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชะนี
จากการประพันธ์ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์
สวัสดิกุล ณ อยุธยา
แม่ฟ้าหลวงดวงประทีปชาวป่าเขา
และเหล่าทวยหาญไทยในไพรเถื่อน
ไม่มีวันที่พระจะลืมเลือน
ผ่องเพื่อผู้ทุกข์ยากลำบากลำบน
ทรงสระสิ่งสินยอมสิ้นสุข
เสด็จประเทาทุกข์ไทยไม่เบื่อบ่น
พระคุณเทียบแผ่นพื้นภูวดล
เหลือล้นถ้อยคำร่ำพรรณนา
บัดนี้โอ้อนิจจาแม่ฟ้าหลวง
เสร็จทิ้งลูกทั้งปวงไว้ใต้หล้า
แม้ชาติหน้ามีจริงดั่งวาจา
ของเถิดใหม่ใต้บาทาแม่ฟ้าเทอญ
ที่ของล่างสุดแกะสลักเป็นตรากองทัพอากาศ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการทำภาพแกะสลักหินทราย
ประติการกรรมชิ้นสำคัญในอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ มาโดยตลอด เมื่อกองทัพอากาศได้ทำการเก็บงาน
ทำความสะอาดแผ่นหินแกะสลักอีกครั้งหนึ่งแล้ว กรมศิลปากรจึงดำเนินการอาบน้ำยาเคมีรักษาแผ่นหินให้มีความคงทนอีกชั้นหนึ่ง